tag:blogger.com,1999:blog-629043250472988552024-02-06T22:35:13.546-08:00doctorphichaiDr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.comBlogger8125tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-55494785227184263992012-08-30T01:12:00.002-07:002012-09-03T23:54:19.169-07:00รู้สักนิด....สารพิษในอาหาร<b><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">ปัญหาที่เกิดจากการได้รับสารอาหารที่เป็นพิษ </span>(Food Toxicity)</span></b><br />
<div class="MsoNormal">
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">ปัญหาสารพิษในอาหาร เกิดได้อย่างน้อยสามทาง คือ</span></div>
<div class="MsoNormal">
<b><span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span></b>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><b><span lang="TH" style="line-height: 115%;">1.สารปนเปื้อนและตกค้างในอาหาร </span>(Food contaminates)</b> <span lang="TH" style="line-height: 115%;">เกิดขึ้นโดยไม่มีความตั้งใจ
เช่น กลุ่มสารเคมีปราบศัตรูพืช สารฆ่าแมลง สารฆ่าเชื้อรา กลุ่มสารโลหะหนัก (ตะกั่ว
ปรอท แคดเมียม แมงกานีส สารหนูหรือ กลุ่มสารพิษจากเชื้อจุรินทรีย์ เช่น
สารทำลายประสาท- </span>botulin <span lang="TH" style="line-height: 115%;">จากแบคทีเรีย </span>botulinum <span lang="TH" style="line-height: 115%;">สารก่อมะเร็งตับ
</span>aflatoxin <span lang="TH" style="line-height: 115%;">จากเชื้อรา </span>Aspergillus flavus</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><b>2.<span lang="TH" style="line-height: 115%;">สารที่เติมลงไปในอาหาร (</span>Food additives)</b> <span lang="TH" style="line-height: 115%;">เกิดขึ้นโดยมีเจตนา
หลายชนิดเป็นสารอันตรายต้องควบคุมและต้องห้าม เช่น สารแต่งลักษณะทางกายภาพและเคมี
สี กลิ่น และรสอาหาร ได้แก่ ผงกรอบหรือบอแรกซ์ สารฟอกสี สารกันบูดกันเสีย (กรดเบนโซอิก
ไนเตรท ฟอร์มาลิน และ สารสังเคราะห์เพื่อผสมสีหรือกลิ่นหรือรส
ของอาหารและเครื่องเดิม นอกจากนี้มีการเติมในอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น สารปฎิชีวนะ
สารเร่งเนื้อแดง ฉีดฮอร์โมนเร่งการเติบโตสัตว์เลี้ยง
เช่น </span>estrogen , growth hormone <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ทำให้มีสารตกค้างในอาหารเนื้อสัตว์และมีผลกระทบต่อผู้บริโภค
ผงชูรส คือ สาร </span>Monosodium D-glutamic acid(MSG) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">เมื่อกินเข้าไปจะเข้าไปทำงานแข่งขันกับสาร
</span>L-glutamic acid <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ซึ่งเป็นสารสื่อนำประสาทธรรมชาติในร่างกาย จึงเกิดอาการผิดปกติต่างๆ
เช่น ชาปาก ลิ้น ร้อนวูบวาบตามใบหน้า ต้นคอ หน้าอก มีผื่นตามตัว แน่นหน้าอก
หัวใจเต้นช้า หรือ เต้นเร็วผิดปกติ</span><span lang="TH"> </span><span lang="TH" style="line-height: 115%;">ปวดท้อง
คลื่นไส้ อาเจียน ภาวะพิษจากผงชูรสมีอัตราสูงขึ้นมาก ในระหว่าง 30-40</span>% <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ของประชาชนทั่วโลก
ผงชูรสรับเข้าไปมากในเด็กเล็กอาจทำให้เกิดภาวะชักและสมองไม่พัฒนาทำให้สติปัญญาอ่อนแอได้อีกด้วย</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<b><span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span></b>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><b><span lang="TH" style="line-height: 115%;">3.สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง </span>(Carcinogens
from overheated cooking food)</b> <span lang="TH" style="line-height: 115%;">คนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ
และมะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง สารเคมีก่อมะเร็ง </span>(carcinogens) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ในอาหาร
เป็นปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่ง มีหลายกลุ่ม ได้แก่
กลุ่มก่อสารมะเร็งที่เกิดจากการปิ้งย่าง เผา ด้วยความร้อนสูงจัดเกิน 250 </span>C <span lang="TH" style="line-height: 115%;">กรดกลูตามิกในเนื้อสัตว์หรือโปรตีนและผงชูรสที่ไหม้ไฟจะเปลี่ยนสภาพทางเคมีเป็นสารกลูพี1
</span>(Glu-P-1) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">สารกลูพี2 และสารไฮโดรคาร์บอนอื่นๆ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น หมูปิ้ง
ไส้กรอกย่าง ลูกชิ้นปิ้ง ไก่ย่าง ไก่ทอด เนื้อกระทะ นอกจากนี้มีสารพิษประเภทกลุ่มไขมันทรานส์
</span>(trans fats) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ซึ่งพบมากในเนยเทียม หรือ มาการีน </span>(magarine) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">และกลุ่มสารไขมันออกซิไดซ์
สารอนุมูลอิสระในปาท่องโก๋ อาหารทอดด้วย น้ำมันถอดซ้ำ สารเคมีจากพืชหรือพฤกษเคมี </span>(phyochemicals)</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">ในระยะศตวรรษที่ผ่านมา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้นำวิทยาการมากมายและเทคโนโลยีใหม่ๆในการส่งเสริมสุขภาพ
และการป้องกันโรคด้วยอาหารจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า อาหารโดยอาหารจากพืช ผัก
ผลไม้ เป็นปัจจัยสำคัญของการมีสุขภาพดี ทั้งด้ายระบาดวิทยา
และด้ายการทดลองในห้องปฎิบัติการ ความรู้เหล่านี้ มีการจดจำมานานแล้ว ได้มาจากสติปัญญาและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยเราด้วย
โดยอาสัยการสังเกตทั้งด้านรสชาติ และคุณสมบัติในด้านยาด้วย</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><b style="background-color: white;"><br /></b></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;"><b>คุณภาพของอาหาร</b>ขึ้นอยู่กับสารอาหาร </span>(nutrients) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">และสารเคมีอื่นที่ไม่ใช่สารอาหาร
</span>(non-nutrients) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ซึ่งร่วมกันเรียกว่า สารเคมีจากพืชหรือพฤกษาเคมี </span>(phytochemicals)
<span lang="TH" style="line-height: 115%;">สารเคมีจากพืช
เป็นสารที่เกิดรสชาติ กลิ่น สี
และรูปลักษณะของอาหารที่เป็นสารที่ไม่จำเป็นเหมือนสารอาหารแต่มีความสำคัญมากในด้านการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค
ความจริงแล้ว สารเคมีเหล่านี้ มีประโยชน์โดยตรงต่อการป้องกันพืชมิให้ถูกทำลายโดยออกซิเจน
สารเคมีเหล่านี้ มีประโยชน์โดยตรงต่อการป้องกันพืชมิให้ถูกทำลายโดยออกซิเจน สารพิษ
ในสิ่งแวดล้อม และป้องกันศัตรูของพืช มากกว่าประโยชน์ทางอ้อมต่อสัตว์และคน
สัตว์และคนไม่มีการปกป้องดังกล่าว จึงต้องขอ </span>“<span lang="TH" style="line-height: 115%;">แบ่งใช้</span>”
<span lang="TH" style="line-height: 115%;">สาระสำคัญเหล่านั้นมาไว้ในตัวเรา
การวิจัยทำให้เราเห็นความสำคัญของสารเคมีจากพืชทางด้านการโภชนามากขึ้นเรื่อยๆ</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">ในยุคโภชนาการเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นยุคของวิตามิน
ปัจจุบันนนี้เป็นยุคโภชนาการของสารเคมีจากพืช เช่น </span>phytoestogens ,
carotenoids <span lang="TH" style="line-height: 115%;">และ </span>flavonoids <span lang="TH" style="line-height: 115%;">ซึ่งได้มีการสกัดและพัฒนารูปแบบ
สารเหล่านี้เป็นสารกึ่งอาหารกึ่งยา เรียกว่า สารโภชนาเภสัชภัณฑ์ </span>(nutriceuticals)
<span lang="TH" style="line-height: 115%;">หรือ
อาหารสุขภาพ </span>(functional foods) <span lang="TH" style="line-height: 115%;">นำมาใช้ป้องกันหรือลดความเสี่ยงของการติดโรคเรื้อรัง
เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง อาหารสุขภาพที่แท้จริงควนเป็นในรูปแบบอาหารสมบูรณ์ทั้งหมด
ไม่ต้องมีการสกัดสารออกมา เช่น อาหารแมคโครไปโอติก อาหารชีวจิต อาหารมังสวิรัติ
/เจ มีการนำมาเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับปฎิบัติด้วยตนเอง</span></span><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"> </span><span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"> </span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1AyCvuMLLsHcTk7iCSKlAqY0exgBiOgUBR6BxuFt6WnvV9L0t2C152lskwi6TWN8JJ6IqVTck3pO43hsATtPJ0a3Ia7mmMnMGcv0zoIz32qBNIHzrEOH6wJC35KHNGk7YAP0WzDXemgU/s1600/original_37043.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj1AyCvuMLLsHcTk7iCSKlAqY0exgBiOgUBR6BxuFt6WnvV9L0t2C152lskwi6TWN8JJ6IqVTck3pO43hsATtPJ0a3Ia7mmMnMGcv0zoIz32qBNIHzrEOH6wJC35KHNGk7YAP0WzDXemgU/s320/original_37043.jpg" width="320" /></a></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<br /></div>
Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-2673021156093358892012-08-30T01:08:00.001-07:002012-09-03T23:55:24.787-07:0010 วิธี(กิน)เพื่อสุขภาพ!!!<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><br /></span>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_PCxK6q-pQ8xMgzHaJPlKlrtFYzjuVALS5Tu6oe7lXjtB7lpWZ5fUxVhUBEAHFsDuz0mh5GnpNkwfy4_oVk215HIAjOHffqFOeTMM1q73CZuI0SzEJZue_GMV16RqMO4vv04h3Ih2VDc/s1600/24_1279432675.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg_PCxK6q-pQ8xMgzHaJPlKlrtFYzjuVALS5Tu6oe7lXjtB7lpWZ5fUxVhUBEAHFsDuz0mh5GnpNkwfy4_oVk215HIAjOHffqFOeTMM1q73CZuI0SzEJZue_GMV16RqMO4vv04h3Ih2VDc/s1600/24_1279432675.jpg" /></span></a></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<b><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span></b></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<b><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">อาหารกับสุขภาพ 10 วิธี </span><span style="line-height: 115%;">การกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี</span></span></b></div>
<div class="MsoNormal">
<b><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span></b></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนัก
ให้กินนั่น ห้ามกินนี่ จนไม่รุ้จะเชื่อใครดี
วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">1.<b>กินอาหารเช้า</b> เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ
และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด
ลดอัตราการเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น
ทำให้คุฯกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">2.<b>เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร</b> ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวัน
ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกายและมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์
ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">3.<b>ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น</b> คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย
(ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย
รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">4.เ<b>สริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก</b> ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง
เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว
เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก
ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">5.<b>บอกลาขนมและของกินจุบจิบ</b> ตัดของโปรดปรานประเภทโดนัท คุกกี้
เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน
และกากใย ในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">6.<b>สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง</b> เมล็ดทานตะวัน
ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิกว่าเป็นอาหารนก
ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้วพบว่า ช่วยลดความเสียงต่อโรคหัวถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว
เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">7.<b>จัดน้ำชาให้ตัวเอง </b>ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่หลง หรือเอิร์ลเกรย์
ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1-3 แก้ว
ช่วยลดอัตราการเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30</span>%</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">8.<b>กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี</b> คุณต้องพยายามรับประทานผัก
ผลไม้ต่างๆให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี
สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน
มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">9.<b>เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา</b> การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง
ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน
ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งที่ยังมีไขมันน้อย
อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">10.<b>กินถั่วให้เป็นนิสัย</b> ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน
วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน
และแร่ธาตุสำคัญๆหลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้
ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง
อาจทำให้อ้วนได้</span><br />
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<b><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span lang="TH" style="line-height: 115%;">ถ้าปฎิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นจนเป็นนิสัย
สุขภาพดีๆจะไปไหนเสีย</span>!!?</span></b></div>
Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-13173482262761838582012-08-29T21:04:00.001-07:002012-09-03T23:57:14.697-07:00อาหารที่ผู้สูงวัยไม่ควรรับประทาน!<span style="background-color: white;"><b><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">เป็นประจำที่เราจะได้ยินท่านผู้สูงอายุในครอบครัวบ่น </span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">“</span><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">เบื่อ</span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">”
</span><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">ไม่อยากกินอาหารถึงมื้ออาหารแต่ละทีมักจะกินได้ทีละนิดๆ
จนลูกหลานอดเป็นห่วงไม่ได้ว่ากินน้อยแค่นี้ท่านจะมีกำลังวังชาพอใช้ในแต่ละวันหรือไม่</span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">?</span></b></span><br />
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3Io4LK2dC8c3ZSQYH8U0aWYOfK_LxAoEHlU4ehOB0SS9L4qcm97yhM7Nd-4mSknPC7JdTB7zgPAckh6yvjpv8ttFkfPpcyDMlEcCx_UgnSdLCjLGKC3udc9EFHsWIBsebAct3o0d2O7A/s1600/20090709w3m7470.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><img border="0" height="271" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3Io4LK2dC8c3ZSQYH8U0aWYOfK_LxAoEHlU4ehOB0SS9L4qcm97yhM7Nd-4mSknPC7JdTB7zgPAckh6yvjpv8ttFkfPpcyDMlEcCx_UgnSdLCjLGKC3udc9EFHsWIBsebAct3o0d2O7A/s320/20090709w3m7470.jpg" width="320" /></span></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">วัยสูงอายุนั้นย่อมมาคู่กับการเสื่อมของสภาพร่างกาย
แท้จริงแล้ววัยนี้ต้องการอาหารครบ 5 หมู่ เช่นเดียวกับวัยอื่นๆ
แต่อาจจะมีความต้องการอาหารที่ทำให้กำลังงานน้อยลง ไม่เหมาะกับอาหารบางอย่าง และกินได้ในปริมาณน้อยลงกว่าที่เคย</span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">สถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข
ได้แนะนำถึงอาหารที่ผู้สูงอายุไม่ควรกิน ได้แก่ </span><b style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: small;">“</b><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><b>ควรกินอาหารจำพวก ข้าว แป้ง และน้ำตาลให้น้อยลง ไม่ควรกินข้าวที่ขัดสีขาวมากเกินไปและข้าวที่นำมาประกอบกับอาหารอย่างอื่นที่เพิ่มกะทิ
หรือไขมัน เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวหลาม
ขนมเชื่อม ของหวานต่างๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทุเรียนกวน ผลไม้เชื่อม ฯลฯ
เพราะผู้สูงอายุมีโอกาสใช้พลังงานได้น้อย อาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดไขมันส่วนเกิน
ทำให้อ้วน ตามมาด้วยโรคภัยอื่นๆอีกมากมาย"</b></span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="background-color: white; line-height: 115%;"> </span></span><br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small;"><span style="line-height: 115%;"><b>อาหารจำพวกเนื้อสัตว์นั้น ไม่ควรกินเนื้อติดมัน</b></span><span style="line-height: 115%;"> </span><span style="line-height: 115%;">หนังสัตว์ต่างๆ เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น
หนังไก่ทอด แคบหมู ขาหมู หมูกรอบ หมูสามชั้น หรือแม้แต่ไข่แดง</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"> <b> </b></span><br />
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><b>ไม่ควรกินอาหารจำพวกไขมันสูง</b> ได้แก่ น้ำมันหมู น้ำมันไก่
น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ของทอดต่างๆ เช่น กล้วยทอด ปาท่องโก๋ อาหารชุบแป้งทอด
อาหารใส่กะทิ เช่น แกงเผ็ด</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"> <b> </b></span><br />
<span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;"><b>ไม่ควรกินอาหารที่มีรสหวานจัด </b>เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก ละมุด กล้วยหอม
ลำไย น้อยหน่า ขนุน </span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">แน่นอนว่า อาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้านแต่มีรสจัด อร่อย
เป็นที่ติดใจมานานแสนนานจนยากที่จะลดละเลิก แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี
และมีสุขภาพแข็งแรงไป</span></span><br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-small; line-height: 115%;">อีกนานๆ ท่านผู้สูงอายุทั้งหลายก็คงยอมได้นะครับ</span></div>
Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-72287506263863485412012-08-29T21:00:00.003-07:002012-09-03T23:59:24.811-07:00"กินอยู่เพื่ออายุยืน"<div style="text-align: center;">
<b style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><span style="font-size: x-large;"><br /></span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><span style="font-size: x-large;"><br /></span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><span style="font-size: x-large;">ใครว่าคนไทยอายุยืน?</span></b></div>
<div style="text-align: center;">
<b style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><span style="font-size: x-large;"><br /></span></b></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><br /></span></div>
<div class="MsoNormal">
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjB4rjnIscYQQemgkQTVvIw4VdJN2asKX4RzEWVnPVSje6nDxFp-3NwwE_pPQktPuC7kcasSDMT7BV2t1lQ4wV99D1hijjO_mjRM3WpgBGtFwJywJ21lGEFubjIM8Mb42lcrW9b9JaikWk/s1600/stren.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjB4rjnIscYQQemgkQTVvIw4VdJN2asKX4RzEWVnPVSje6nDxFp-3NwwE_pPQktPuC7kcasSDMT7BV2t1lQ4wV99D1hijjO_mjRM3WpgBGtFwJywJ21lGEFubjIM8Mb42lcrW9b9JaikWk/s400/stren.jpg" width="355" /></a></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<br /></div>
<span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">ในความเป็นจริง อายุเฉลี่ยของคนไทยต่ำกว่าอีกหลายๆประเทศทั่วโลก
เชื่อไหมว่า คนไทยตายด้วยโรคมะเร็ง ปีละกว่า 4 หมื่น 5 พันคน ตายด้วยอุบัติเหตุ
กว่า 3 หมื่น 2 พันคน เพียงโรคที่ป้องกันได้ 3 โรคนี้ ต้องหมดเปลืองค่าใช้จ่าย
ในการรักษาพยาบาลหลายหมื่นล้านบาท ต้องหมดเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาค่าพยาบาลหลายหมื่นล้านบาท
ไม่รวมถึงการสูญเสียโอกาสในการทำงาน สร้างรายได้ให้กับตนเอง และครอบครัว
ทำอย่างไรคนไทยจะอายุยืนมากขึ้น</span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">เคล็ดลับอายุยืน</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><br /></span>
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">ที่จริง
ไม่ยากเลยถ้าคนไทยจะมีอายุยืนขึ้น รู้หลัก...ปฎิบัติให้ถูกต้องก็จะแข็งแรง ไม่เจ็บ
ไม่ป่วยแต่ละวัน ชีวิตคนเรา เกี่ยวพันแต่เรื่องกิน และเรื่องอยู่
กินอย่างไรให้แข็งแรง และอายุยืนอยู่อย่างไร ก็ให้แข็งแรง และอายุยืนเช่นกัน</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><br /></span>
<span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">เรื่องกิน</span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"> กินตามวัย
ห่างไกลโรค </span><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%; text-indent: 36pt;">กินอาหารปลอดพิษ ชีวิตปลอดภัย </span><span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">เรื่องอยู่ </span><b style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">ออกกำลังกาย
</b><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที ลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่ และโรคภัย
รักษาอารมณ์ให้ผ่องใส ไม่ให้เกิดความเครียด ร่างกายทุกคน
ต้องการสารอาหารเพ่อพลังงานเพื่อการเจริญเติบโต เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
แต่เราไม่สามารถกินอาหารให้พอดีกับร่างกายเราต้องการ ไม่มากไป มากไปก็สะสม
กลายเป็นไขมัน ที่มองเห็นก็ทำให้อ้วน ที่มองไม่เห็น ก็ทำให้หลอดเลือดอุดตัน
เป็นสาเหตุหัวใจวาย</span></span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">การออกกำลังกาย</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"> </span><br />
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">เป็นการเผาผลาญพลังงานจากที่เรากินเข้าไป
ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น การออกกำลังกายที่จะให้ผลอย่างชัดเจน
ต้องให้ออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ30 นาทีขึ้นไป และต่อเนื่องอย่างน้อย สัปดาห์ละ
3 วัน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เลือดสูบฉีดอย่างต่อเนื่อง
ป้องกันการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือด เส้นเลือด หรือหลอดเลือดก็จะไม่อุดตัน
การมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราแข็งแรงขึ้น มีการเผาผลาญพลังงานที่ดีขึ้น
ไขมันสะสมก็จะลดน้อยลง ร่างกายดูสมส่วน
จิตใจเบิกบานสดใสโอกาสเกิดโรคจะน้อยลงลดความเสี่ยงโรคภัยและอันตรายได้</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">กินตามวัย</span></div>
<div class="MsoNormal">
<br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;">กินปลอดพิษ
ออกกำลังกาย ถึงจะครบแต่ก็ยังไม่เต็มสูตรอายุวัฒนะ ถ้าหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง
ที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเรา ทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากการเสพ เช่น บุหรี่
ยาเสพติด สุรา อุตส่าห์รักษาร่างกายอย่างดี
กินตามวัยก็แล้วสารพิษไม่มีโอกาสเข้าร่างกายก็แล้ว หรือออกกำลังกายมากกว่า 3
สัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังสูบบุหรี่ ก็อาจเป็นมะเร็งตาย ดื่มสุรามากเกินไป
ก็เป็นสาเหตุของโรคร้ายหลายๆโรค มีโอกาสตายได้ทั้งจากโรค และอุบัติเหตุ
เนื่องจากเมาแล้วขับรถและความเสี่ยงที่เกิดจากความประมาท หรือคึกคะนองขับรถเร็วเกินกำหนด
ไม่ขาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ใส่หมวกกันน็อค ถ้าเกิดอุบัติเหตุก็อาจตายได้ คนเราเครียด
จะปวดหัว ปวดท้อง มือสั่นอาการต่างกันไป แต่ละบุคคล แต่อาการไหนๆก็ไม่ดีทั้งนั้น
เพราะเครียดแต่ละครั้ง ร่างกายจะหลั่งสารอดรีนาลิน ที่เป็นอันตรายกับสุขภาพเราเอง
ทำให้อายุสั้น แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องพบปัญหา
แต่เราสามารถจัดการป้องกันความเครียด ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้อยากมีอายุวัฒนะ หรืออายุยืน
ไม่ต้องแสวงหายาอายุวัฒนะที่ไหน ทั้งหมดอยู่ที่ตัวเราเอง</span></div>
<div class="MsoNormal">
<span lang="TH" style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; line-height: 115%;"><br /></span></div>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjB4rjnIscYQQemgkQTVvIw4VdJN2asKX4RzEWVnPVSje6nDxFp-3NwwE_pPQktPuC7kcasSDMT7BV2t1lQ4wV99D1hijjO_mjRM3WpgBGtFwJywJ21lGEFubjIM8Mb42lcrW9b9JaikWk/s1600/stren.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"></span></a></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: center;">
<span lang="TH" style="font-family: "Cordia New","sans-serif"; font-size: 14.0pt; line-height: 115%; mso-ansi-font-size: 11.0pt; mso-ascii-font-family: Calibri; mso-ascii-theme-font: minor-latin; mso-bidi-font-family: "Cordia New"; mso-bidi-theme-font: minor-bidi; mso-hansi-font-family: Calibri; mso-hansi-theme-font: minor-latin;"><br /></span></div>
Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-46987480517410089942012-08-28T20:48:00.003-07:002012-09-04T00:02:16.431-07:00You Know the Foods well?<div style="text-align: center;">
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif; font-size: x-large;"><b>You Know the Foods well?</b></span>
</div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span>
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSqljIuhcMm3SzRpcT2xcyUZ4qrhggrV_URQQqmrkR5ERkI52UwjJEAhd1UdfJ37MCZbGHtzKKmnu4wjT_-GUCxSKKr92NmPwWrb8GGY9O0UCDRlnw2z222oi4qLETuvF2nF00BEY0bO0/s1600/images.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" height="256" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhSqljIuhcMm3SzRpcT2xcyUZ4qrhggrV_URQQqmrkR5ERkI52UwjJEAhd1UdfJ37MCZbGHtzKKmnu4wjT_-GUCxSKKr92NmPwWrb8GGY9O0UCDRlnw2z222oi4qLETuvF2nF00BEY0bO0/s400/images.jpg" width="400" /></span></a></div>
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>อาหาร</b> (Food, Diet) เป็นสารผสมระหว่างสารอาหาร (Non-nutrients) เส้นใยอาหาร (Dietary Fiber) และน้ำ Food คือ อาหารทั่วไป Diet คือ อาหารพิเศษที่มีลักษณะเฉพาะ ตามความต้องการผู้ปรุงและผู้กินสารอาหาร คือ สารประกอบในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จะถูกย่อยด้วยเอนไซม์น้ำย่อยอาหารจนได้โมเลกุลของสารที่เล็กลงซึ่งถูกดูดซึมในทางเดินอาหารได้และร่างกายสามารถนำเอาไปทำประโยชน์ต่อชีวิตได้</span><br />
<br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>คาร์โบไฮเดรท โปรตีนและไขมัน</b> เป็นสารอาหารที่มีร่างกายใช้ในปริมาณมาก(กรัม) จึงเรียกได้ว่าสารอาหารหลัก (macronutrients) การได้รับสารอาหารหลักนี้ควรเป็นไปตามสัดส่วนโดยคำนวณตามร้อยละของพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน ตัวอย่างสัดส่วนอาหารสำหรับผู้ใหญ่หนัก 60 กก. มีตังนี้ส่วนของอาหาร เปอร์เซ็นของแคลอรี่ทั้งหมดต่อวันปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน</span><br />
<br />
<ul>
<li><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> คาร์โบไฮเดรท 55-60% 180-200 กรัม</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> โปรตีน 10-15% 36-40% กรัม</span></li>
<li><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"> ไขมัน (น้อยกว่า 30% 55 กรัม)</span></li>
</ul>
<br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>วิตามินและเกลือแร่ </b>เป็นสารอาหารที่ร่างกายใช้ในปริมาณน้อย (ไมโครกรัมหรือมิลลิกรัม) จึงเรียกว่า สารอาหารรอง (micronutrients)</span><br />
<span style="font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b style="background-color: white;"><br /></b></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><b>น้ำ </b>ไม่เป็นสารอาหารแต่เป็นสารตัวกลางที่จำเป็นต่อร่างกายมาก มีประมาณ 80% ของน้ำหนักร่างกาย น้ำทำให้เกิดการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร การพาสารอาหารและก๊าซไปในเลือด ทำให้เกิดปฎิกิริยาทางเมแทบอลิซึม ปรับภาวะกรดด่าง(pH) ปรับอุณหภูมิร่างกาย ฯลฯ</span><br />
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ฮิปโปเครตีสได้กล่าวว่า<b> "You are want you eat = คุณจะเป็นเช่นที่คุณกิน" </b>คนที่มีสุขภาพร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงได้นั้นต้องจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนและปริฒานเพียงพอ การบริโภคอาหารที่ถูกต้องตามทางโภชนาการ อาหารมีความสำคัญมากต่อชีวิต อาหารดีทำให้ชีวิตสมบูรณ์ อาหารที่ไม่สมดุลและถุกต้องตามหลักโภชนาการจะมีผลกระทบต่อสุขภาพและทำให้มีปัยหาและเกิดโรคขาดสารอาหารและโรคอ้วนได้ ในทางตรงกันข้าม อาหารที่เหใมาะสมและมีความพอดีทางโภชนาการจะสามารถป้องกันและบำบัดโรคได้เช่นกัน</span><br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhfam6QoNkvpLWHZ3BE5Dl7CHYK2r9qKCNuzrGrngk1Cw438GANdC1ybAmU9uFQcYYx5gNPMqICKMkwg4qdXPe3BX7ss8gXkxjkVBTdcY1YK3_ANJKaKRyBrPa8AmrFXD6TQ_4m9yybBI/s1600/26_20071107143843..jpg" imageanchor="1" style="clear: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhhfam6QoNkvpLWHZ3BE5Dl7CHYK2r9qKCNuzrGrngk1Cw438GANdC1ybAmU9uFQcYYx5gNPMqICKMkwg4qdXPe3BX7ss8gXkxjkVBTdcY1YK3_ANJKaKRyBrPa8AmrFXD6TQ_4m9yybBI/s1600/26_20071107143843..jpg" /></span></a></div>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;"><br /></span>
<span style="background-color: white; font-family: Arial, Helvetica, sans-serif;">ปัญหาที่เกิดจากการได้รับสารอาหารไม่สมดุลหรือมากเกินไป (Overnutrition) ปัจจุบันมีโรคเรื้อรังที่เกิดจากการกินอาหารถึง 80% เช่น โรคหัวใจขาดเลือดตีบตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ เป็นต้น คนไทยเป็นและตายด้วยโรคหัวใจ ชม.ละ 4 คน ด้วยโรคมะเร็ง ชม. ละ 3 คน มากกว่าโรคเอดส์เสียอีก เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคทั้งสิ้น จะเพิ่มมากขึ้นในประเทศที่พัฒนาการบริโภคทั้งสิ้น จะเพิ่มมากขึ้นในประเทศที่พัฒนาทางอุตสาหากรรม ในด้านระบาดวิทยา มีการรายงานว่า ประชากรที่ได้รับประทานอาหารพืชผักผลไม้ และข้าวกล้องเป็นประจำ จะเป็รโรคมะเร็งและโรคหัวใจน้อยกว่าคนปกตอทั่วไปที่กินอาหารประเภทพวกเนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ เป็นหลัก สตรีที่กินอาหารผัก ผลไม้ จะปลอดจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมน้อยกว่าสตรีที่ไม่กิน เด็กรุ่นใหม่จะมีกลุ่มที่เกิดจากอาหารขยะ (Junk food syndrome) หรือเรียกว่า ภาวะกินล้นเกินแต่อาหารไม่ครบส่วน (Overconsumption) อาหารขยะมีแป้งขัดสี มีน้ำตาล และน้ำอัดลม สารอาหารในรูปคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวถูกดูดซึมเข้สเซลล์ เข้าสู่วงโคจรสร้างพลังงาน (Kreb"cycle) ปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างรวดเร็ว และหมดพลังงานอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน เหมือนไฟไหม้กองฟาง เด็กที่กินอาหารกลุ่มนี้จึงตาสว่าง แต่ง่วงเหงาซึงเซาในเวลาต่อมา เมื่อกินอาหารเหล่้านี้ซ้ำซาก การเผาผาญคาร์โบไฮเดรตต้องใช้วิตามินบีในวงจรชีวเคมี ไม่มีวิตามินบีในอาหารขยะและน้ำอัดลม เซลล์ร่างกายจึงวิตามินบีจากเซลล์สมอง เป็นผลให้สมองของเด็กขาดวิตามิน เกิดอาการตื่นเต้นง่าย ซุกซุนเกินเหตุ สมาธิสั้น อารมณ์แปรปวร ก้าวร้าว ตามด้วยอ่อนเปลี่ยเพลียแรง นอนไม่หลับ และผลการเรียนตกต่ำ สัมพันธ์กับการบริโภคอาหารขยะงานวิจัยของศูนย์สุขภาพจิตในแมนฮาสเสตต์ นิวยอร์ก ระบุว่าอาการเหล้่านี้จะเปลี่ยนเมื่องดอาหารขยะและน้ำอัดลมที่อุดมด้วยสารเคมีหันมากินอาหารธรรมชาติ ผัก ผลไม้ ไข่ และเพิ่มวิตามินให้ ภายใน 3 สัปดาห์ เด็กที่ป่วยด้วย "กลุ่มอาการอาหารขยะ" จะค่อยๆดีขึ้น ลแะผลการเรียนก็ดีขึ้นตาม</span>Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-22993241015294482372012-08-23T21:06:00.002-07:002012-09-04T00:02:30.072-07:00อากาศบริสุทธิ์<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHGgKPoyt-yLLvOLlGIkLcPgIERqQNkCC7M6Ed4wXxYYoqg-SIkRkjewtcqaVNfQ198fkTT5PKLtNi3AyV6yw3yo5whTkFVXzN8bxA_NUBJd40Io6MC-1y_TFB2vy-_zH0GuMIXrOX3fQ/s1600/big+tree.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="300" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgHGgKPoyt-yLLvOLlGIkLcPgIERqQNkCC7M6Ed4wXxYYoqg-SIkRkjewtcqaVNfQ198fkTT5PKLtNi3AyV6yw3yo5whTkFVXzN8bxA_NUBJd40Io6MC-1y_TFB2vy-_zH0GuMIXrOX3fQ/s400/big+tree.jpg" width="400" /></a></div>
<br />
<div class="MsoNormal">
<b style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 19px; line-height: 21px;"><span style="background-color: white;">ลักษณะของอากาศบริสุทธิ์</span></b></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span lang="TH" style="background-color: white; font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%; text-indent: 36pt;">นิยามของอากาศบริสุทธิ์ หมายถึงอากาศที่มีอยู่ในธรรมชาติ
ปราศจากมลพิษหรือแก๊ซ
ร่างกายของคนเราประกอบด้วยปอดที่ทำหน้าที่รับก๊าซออกซิเจนเมื่อเราหายใจเข้า
และปล่อยคาร์บอดไดอ๊อกไซด์เมื่อหายใจออก สมัยเราเรียนชั้นประถมจะมีวิธีการทดลอง
เป่าหลอดลงในน้ำปูนใส เมื่อเป่าแล้วทำไมน้ำปูนถึงขุ่น นั่นหมายความหมายแคลเซียมคาร์บอนเนตจากน้ำปูนใส
ผสมกับคาร์บอนไดออกซ์ไซด์ จึงเกิดปฎิกิริยาให้น้ำปูนใสขุ่น
เพราะฉะนั้นอากาศที่บริสุทธิ คืออากาศที่ไม่มีสารพิษอันตรายเจือปนอยู่ในอากาศ ในอากาศบริสุทธินั้นจะประกอบไปด้วย
ออกซิเจน และไนโตรเจน ถ้ามีอากาศดังกล่าวและมนุษย์สูดหายใจเข้าไปในปอด
อากาศบริสุทธิเหล่านั้นจะเข้าไปซ่อมแซมอวัยวะ หรือ เซลล์ ให้แข็งแรงขึ้น ในอากาศบริสุทธิจึงสามารถทำให้หายป่วยได้
สังเกตได้จากผู้ป่วยที่ได้ไปพักผ่อนในสถานที่ตากอากาศ อาการไม่สบายจะหายไวขึ้น</span><br />
<b style="background-color: white; font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-size: 14pt; line-height: 115%;"><br /></span></b>
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;">
<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuYg4BLlHcGdcpnIz6_d-YVSePVfnKLrR9T9CXbJbiUPnt6fz7SZfKEeOMDU3MmeeAUP1MO7l-R_kPZY8DE5dl5PHVwXcut-SfMufw16JHO1p_ptAA-N_MLyPZOBTeLR4hZj46eZHQl9k/s1600/tree+in+office.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuYg4BLlHcGdcpnIz6_d-YVSePVfnKLrR9T9CXbJbiUPnt6fz7SZfKEeOMDU3MmeeAUP1MO7l-R_kPZY8DE5dl5PHVwXcut-SfMufw16JHO1p_ptAA-N_MLyPZOBTeLR4hZj46eZHQl9k/s200/tree+in+office.jpg" width="200" /></a></div>
<b style="background-color: white; font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%; text-indent: 36pt;"><span lang="TH" style="font-size: 14pt; line-height: 115%;">เมื่อคนในเมืองใหญ่ไม่สามารถได้รับอากาศบริสุทธิได้เต็มที่</span></b></div>
<div class="MsoNormal" style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;">ให้ย้อนไปในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เวลาที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ ให้มานั่งใต้ต้นใหม่ใหญ่ๆสักต้น ซึ่งทางหลักวิทยาศาสตร์นั้นได้อ้างอิงไว้ว่า
ใบไม้เมื่อได้รับการสังเคราะห์ด้วยแสง จะปล่อยก๊าซอ๊อกซิเจนที่บริสุทธิ์ออกมา
ซึ่งเป็นก๊าซออกซิเจนแบบสดๆ จากต้นไม้ </span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;">สำหรับผู้ที่ทำงานใน
</span>Office <span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;">อาจจะได้รับอากาศจากแอร์คอนดิชั่นเนอร์เป็นส่วนใหญ่ </span><span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;"> แค่มีต้นไม้เป็นกระถางไปวาง และมีแดดส่องโดนต้นไม้บ้าง ก็จะช่วยให้คนใน </span>Office
<span lang="TH" style="font-family: 'Cordia New', sans-serif; font-size: 14pt; line-height: 115%;">ได้รับอากาศที่บริสุทธิมากขึ้น </span></span></div>
Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-92076294183189143672012-08-23T01:41:00.003-07:002012-08-23T20:48:10.524-07:00"น้ำบริสุทธิ์ หยุดดื่มดีกว่า "<a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXvHazrsO9qc8YNxcEQwFMBQj0i4FWfuZQMDbGmgQl7ROcK_VBrovt-psdLD2D3aEnL-VjOu1Gkck4sB762iM8Vom9cb3qyQRrTJVYvsV3RDgIUvi8McXEuTohrT7zgk2NivID1cQ0E7E/s1600/water.jpg" imageanchor="1" style="clear: left; float: left; margin-bottom: 1em; margin-right: 1em; text-align: justify;"><img border="0" height="320" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiXvHazrsO9qc8YNxcEQwFMBQj0i4FWfuZQMDbGmgQl7ROcK_VBrovt-psdLD2D3aEnL-VjOu1Gkck4sB762iM8Vom9cb3qyQRrTJVYvsV3RDgIUvi8McXEuTohrT7zgk2NivID1cQ0E7E/s320/water.jpg" width="248" /></a><br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">ผลการประชุมสัมมนาเรื่อง "ดื่มอะไรจึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพ" ซึ่งสมาคมเคมีร่วมกับฝ่ายสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี รศ.ดร.สมใจ วิชัยดิษฐ อดีตนายกสมาคมโภชนาการ นางชวนพิศ ธรรมศิริ อดีตผู้ว่าการการประปานครหลวง รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ รองประทานชมรมอยู่ร้อยปีชีวีเป็นสุขเป็นวิทยากร และ ผศ.ดร.ตะวัน สุขน้อย เป็นผู้ดำเนินการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 120 คน</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<span style="background-color: white;"><br /></span>
<br />
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><b>รศ.ดร.ธีรวัฒน์ มงคลอัศวรัตน์</b> นายกสมาคมเคมี ได้แถลงต่อที่ประชุมว่า สมาคมเคมีมีนโยบายที่จะให้ความรู้สู่ประชาชนในหัวข้อ " เคมีในชีวิตประจำวัน" และฝ่ายสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของ สวทช. ก็มีภารกิจในการเผยแพร่ผลงานทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำความเข้าใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่ประชาชนจึงได้ร่วมมือกันในการประชุมสัมมนานี้ขึ้น โดยผู้เข้า่ร่วมประชุมไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายแต่อย่างไร</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><b>รศ.ดร.สมใจ วิชัยดิษฐ์ </b>ได้อธิบายถึงความสำคัญของน้ำที่มีต่อร่างกายเป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ นอกเหนือจากคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินในร่างกายมีปริมาณน้ำมากที่สุด ประมาณ 63% และมีเกลือแร่ประมาณ 6 % มากกว่าคาร์โบไฮเดรต ซึงมีเพียงประมาณ 1 % ส่วนวิตามินนั้นมีน้อยมาก น้ำในร่างกายมีทั้งภายในเซลล์ประมาณ 25 ลิตร และอยู่ภายนอกเซลล์ประมาณ 17 ลิตร โดยเพศชายจะมีปริมาณน้ำมากกว่าเพศหญิงในวัยเดียวกัน บทบาทของน้ำในร่างกายเป็นของเหลวทั้งภายในเซลล์และภายนอกเซลล์ เกี่ยวข้องกับกระบวนการออสโมซิส ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายกำจัดของเสียและเป็นสารหล่อลื่น ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ถ้าดื่มน้ำมากเกินมากไปก็อาจทำให้ปวดศรีษะ สายตาพร่า เป็นตะคริว และอาจชัดได้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><b>นางชวนพิศ ธรรมศิริ</b> ได้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรของมนุษย์ที่ควรจะใช้อย่างชาญฉลาด แหล่งน้ำที่นำมาใช้บริโภคมีทั้งน้ำที่อยู่บนดินจากแม่น้ำลำคลอง รวมทั้งลำธารตามป่าเขาและน้ำใต้ดิน การผลิตน้ำเพื่อบริโภคนั้นมีกรรมวิธีหลายขั้นตอน เทคโนโลยีสมัยใหม่นี้สามารถผลิตน้ำให้สะอาดอย่างไรก็ได้ แต่ปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ ความเค็มของน้ำซึ่งมีธาตุโซเดียมละลายอยู่เป็นปัญหาที่แก้ได้ยากที่สุึด จึงมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า รีเวอร์ออสโมซิส (Reverse Osmosis) หรือย่อว่า อาร์โอ (RO) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถขจัดแร่ธาตุทุกชนิดออกไปจากน้ำ กลายเป็นน้ำบริสุทธิ์เสมือนหนึ่งเป็นน้ำกลั่น สำหรับน้ำประปาของการประปานครหลวงมีคุณภาพและมาตรฐานของตนเอง และทำได้ดีกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ความจริงประชาชนได้รับน้ำประปาเข้าร่างกายทางอ้อมในการหุงข้าวและทำอาหารเป็นประจำมานานแล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครเจ็บป่ายเพราระใช้น้ำปะปา มีแต่เรื่องเดือดเพราะไม่มีน้ำปะปาใช้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาที่จะดื่มน้ำประปาโดยตรง ส่วนปัญหาที่มีผู้ข้องใจว่า ท่อปะปารั่วอาจมีสิ่งสกปรกเข้าไปในท่่อได้นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะภายในท่อจะมีความดันสูงกว่าภายนอกท่อ เมื่อมีรอยรั่วจึงมีแต่น้ำพุ่งออกมาจากท่อปะปาสิ่งสกปรกจากนอกท่้อจะเข้าไปในท่อไม่ได้ นอกจากบางบ้านที่ใช้ปั๊มน้ำก็อาจทำให้สิ่งที่อยู่นอกท่อเข้าไปในท่อได้</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">ศ.ดร.ประดิษฐ์ เชี่ยวสกุล นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าน้ำประปาใช้คลอรีนฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ อาจทำให้มีกลิ่นฉุน แต่ถ้าตั้งทิ้งไว้หรือต้มให้ร้อน กลิ่นคลอรีนก็จะระเหยหายไปได้ไม่มีพิษภัยอะไร</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ได้อ่านบทความของ รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน คณบดี คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งรับเชิญเป็นวิทยากรด้วยแต่ติดราชการกะทันหัน จึงไม่สามารถเข้าร่วมประชุม ได้อนุญาตให้นำบทความมาแจกในที่ประชุม ซึ่งมีข้อความสำคัญบางตอนดังต่อไปนี้<b> "แร่ธาตุในน้ำนั้นมีหน้าที่สำคัญ คือ ทำให้น้ำนั่นไม่กลายเป็น "น้ำอ่อน" เกินไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตน้ำเพื่อการบริโภค....น้ำดื่มจะต้องไม่เป็นน้ำอ่อนเกินไป กรณีของน้ำไร้แร่ธาตุนั้นนับเป็นน้ำที่อ่อนสุดขีด...กระบวนการรีเวอร์สออสโมซิสนั้น นิยมใช้ในการเตรียมน้ำทะเลให้เป็นน้ำดื่มเพื่อการบริโภค </b>ที่เรียกว่า "ดีซาลิเนชั่น" (Desalination) น้ำทะเลซึ่งกระด้างมหาศาล เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว จะกลายเป็นน้ำไร้แร่ธาตุอย่างสิ้นเชิง<b> แต่ก่อนที่จะจ่ายเข้าสู่ระบบน้ำบริโภค เขาจะผสมแร่ธาตุจำนวนพอเหมาะกลับเข้าไปในน้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไม่ให้น้ำอ่อนเกินไป สามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย"</b></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ได้อธบายความสำคัญของแร่ธาตุที่มีต่อร่างกาย เช่น การทำงานของเอ็นไซม์จำนวนมาก ต้องใช้โลหะเป็นส่วนประกอบสำคัญถ้าปราศจากโลหะนี้แล้ว เอ็นไซม์จะไม่สามารถทำงานได้ ยกตัวอย่างแมกนีเซียมเกี่ยวข้องกับปฎิกิริยาของเอ็นไซม์ในร่างกายมากกว่า 300 ปฎิกิริยา เช่นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น เฉพาะแมกนีเซียมตัวเดียวสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคต่างๆได้ถึง 50 โรค ตามเอกสารที่แจกในที่ประชุมยกตัวอย่างเช่น โรคแก่ก่อนวัย (Aging) , พฤติกรรมก้าวร้าว (Aggressive Behavior) , ความเสื่อม (Alzheimer) , สมองเสื่อม (Brain Damage) , มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคเอดส์ (HIV,AIDS) , นิ่วในไต (Kidney Stones) , โรคเครียด และพฤติกรรมรุนแรง (Violence) เป็นต้น เป็นที่สังเกตุได้ว่าโรคต่า่งๆ เหล่านี้มีสถิติเป็นกันมากขึ้นภายหลังจากที่มีการนำเรซินมาขจัดความกระด้างของน้ำดื่มกลายเป็น "น้ำอ่อน" ที่ไม่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมและแคลเซียม ยิ่งเป็นน้ำจากระบบอาร์โอ รวมทั้งน้ำจากตู้หยอดเหรียญหรือน้ำดื่มบริสุทธิ์เอื้ออาทร จัดได้ว่าเป็นน้ำอ่อนที่สุด นอกจากไม่มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถดึงดูด (Absorption) แร่ธาตุในร่างกายออกมา ทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุ บั่นทอนสุขภาพทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ ได้มากมาย</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ได้ทำการสาธิตตรวจวัดปริมาณแร่ธาตุที่ละลายในน้ำชนิดต่างๆ ปรากฎว่าน้ำอาร์โอมีความบริสุทธิ์มากกว่าน้ำกลั่นเติมแบตเตอรรี่ที่ตรวจวัดในวันนั้น ปกติน้ำอาร์โอและน้ำจากตู้หยอดเหรียญจะมีแร่ธาตุละลายอยู่ตั้งแต่ 0 มิลลิกรัม ถึงประมาณ 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่น้ำประปาจะมีประมาณ 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำบาดาลจะมีค่าแตกต่างกันไปแล้วแต่แหล่งน้ำและกระบวนการ โดยมีประมาณ 200 มิลลิกรัมต่อลิตร และน้ำแร่จะมีประมาณ 250-300 มิลลิกรัมต่อสิตร <b>ยกเว้นน้ำแร่ปลอม</b> ส่วนน้ำคลองที่นำมาตรวจวัดมีถึง 1,360 มิลลิกรัมต่อลิตร เครื่องวัดปริมาณแร่ธาตุนี้ มีจำหน่ายที่ชมรมอยู่ร้อยปีชีวีเป็นสุข</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">นอกจากนี้ ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ยังได้แสดงกลเคมีที่มีการอวดอ้างว่า น้ำที่ผลิตโดยระบบอาร์โอเป็นน้ำสะอาด แต่ระบบอื่นๆ สกปรกนั้นความจริงเป็นการ <b>หลอกลวงประชาชน</b> ซึ่ง ดร.พิชัยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าน้ำจากระบบอาร์โอเป็นน้ำบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นฉนวน ดังนั้นเมื่อจุ่มขั้วไฟฟ้าสองขั้ว (ทำด้วยอลูมิเนียมและเหล็ก) ลงไปในน้ำ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงยังคงเป็นน้ำใส ในขณะที่น้ำระบบอื่นซึงมีเกลือแร่เป็นสื่ิอไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟไหลผ่านโมเลกุลของน้ำก็จะแตกตัวเป็นแก๊สไฮโดรเจนที่ขั้วเหล็ก ทำให้เกิดสนิมเหล็กเป็นตะกอนสีน้ำตาลแดง อย่างไรก็ตามถ้าเติมเกลือแกงเพียงเล็กน้อยลงไปในน้ำระบบอาร์โอแล้วให้กระแสไฟไหลผ่านก็จะเกิดตะกอนสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกันกับน้ำที่ผลิตโดยระบบอื่นๆ ตะกอนที่เกิดขึ้นจึงไม่เกี่ยวข้องกับความสะอาดหรือสกปรกของน้ำ แต่เกิดจากการแตกตัวของโมเลกุลน้ำ</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"><br /></span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">น้ำสะอาดกับน้ำบริสุทธิ์ จึงมีความหมายไม่เหมือนกัน กล่าวคือ น้ำสะอาด หมายถึงน้ำที่ปราสจากเชื้อจุลินทรีย์ ไม่มีสิ่งสกปรกต่อร่างกายละลายอยู่ตามความเหมาะสม ส่วนน้ำบริสุทธิ์ หมายถึง น้ำที่ไม่มีแร่ธาตุหรือสิ่งเจือปนอะไรเลยแม้แต่น้อย</span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;"> </span></div>
<div style="text-align: justify;">
<span style="background-color: white;">ในที่สุด ผศ.ดร.ตะวัน สุขน้อย ได้สรุปต่อที่ประชุมว่า<b> "น้ำดื่มที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ได้แก่ น้ำสะอาดปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ มีแร่ธาตุที่ไม่มีพิษภัยแต่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายละลายอยู่อย่างเหมาะสม"</b></span></div>
Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-62904325047298855.post-89516533980299545252012-08-20T02:39:00.000-07:002012-08-20T02:39:56.338-07:00มังสวิรัติเพื่อสันติภาพ<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: justify;"><img border="0" height="400" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgYT0fmhDVMF2TnK7Ouj0bn8iohQhLSVMI-Cy7AIXjjw29IXBMIesErOXIiv0yG0osDTKkYH6Xq-7U0G3KSI1F1yFG1WX4LHpZXLmw70-IEzBIcwqaHTuQxlynnpJf5-FXxQyUdplCLYRY/s400/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E.jpg" width="400" /></div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><strong><br />
</strong></div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><strong>คนไทยเรายังเข้าใจผิดในหลายเรื่อง</strong> และคิดว่าถูกต้อง เช่น การรับประทานข้าวต้องขาว สวย ซึ่งได้กำจัดสิ่งที่เป็นประโยชน์ออกไปหมดแล้ว น้ำมันพืชก็นำไปฟอกจนใส สิ่งที่เป็นประโยชน์ในน้ำมันพืชนั้นถูกขจัดออกไปหมด น้ำดื่มก็ถูกขจัดเอาเกลือแร่ แคลเซี่ยม แมกนีเซี่ยม ธาตุที่มีความสำคัญออกไปหมด ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของหัวใจ ซึ่งโรคหัวใจที่พบว่าเป็นกันมากที่สุดนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการดื่มน้ำปราศจากแมกนีเซี่ยม หรือมีแมกนีเซี่ยมไม่พอ เพราะไปกำจัดออกหมด นี่คือความเข้าใจผิดของคนทั้งโลก</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
การรับประทานอาหารมังสวิรัติเช่นกัน คนทั้งหลายเข้าใจว่ารับประทานอาหารมังสวิรัติแล้ว จะขาดอะมิโนในแอซิคตัวนั้นตัวนี้ นั่นคืออิทธิพลของนักการค้า เราเกิดเป็นคนหรือเป็นวัวเป็นควายกันแน่ที่ต้องการอะมิโนแอซิดที่มีอยู่ในวัวควายมาใช้ ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย ในอเมริกาโฆษณาป้ายใหญ่โตว่า “เนื้อวัวเป็นอาหารเย็นที่ดีที่สุด” นี่เป็นความเข้าใจผิดของประชากรโลกหรือผู้บริโภค โดยอิทธิพลของพ่อค้าที่ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม แต่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเป็นใหญ่ และยัดเยียดความคิดนั้นให้แก่ประชาชนอย่างไม่ถูกต้อง</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
เรื่องสันติภาพก็เช่นเดียวกัน หลายคนคิดว่าถ้าโลกนี้มีคนร่ำรวยมากๆ มีเงินทองเยอะ มีเศรษฐกิจดีมากๆ ก็เข้าใจว่าสันติภาพคงจะมีได้ ซึ่งเป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องเพียงบางส่วนเท่านั้น ถ้าเราคำนึงถึงสันติภาพอันถาวรแล้ว การพัฒนาเศรษฐกิจก็ดี การพัฒนาในเรื่องความเป็นอยู่โดยวัตถุก็ตาม เป็นเรื่องของการทำลายมากกว่าการสร้างสรรค์<br />
ถ้าเราร่ำรวยมากๆ เราก็อาจจะไปทำในสิ่งที่ทำลายธรรมชาติ หรือทำอะไรที่จะไปรับผลประโยชน์จากคนอื่นเพื่อประโยชน์เข้าตนเอง สันติภาพที่แท้จริงนั้นผมคิดว่าอยู่ที่จิตใจของมนุษย์เรามากกว่าอย่างอื่น เราจะต้องเข้าใจถึงศาสนาที่แท้จริงให้ได้ต้องเข้าใจถึงแก่นแท้ของงการเกิดมามีชีวิตเป็นคนว่าเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่เราเกิดมาเพื่อให้มีความร่ำรวย เกิดมาเพื่อจะให้อยู่ตึกหลังสวยๆ งามๆ หรือเราเกิดมาเพื่ออะไรกัน ถ้าเราเข้าใจตรงจุดนี้แล้ว ทุกคนจะเข้าใจและพยายามทำอย่างพอกินพอใช้อยู่ และทุกสิ่งทุกอย่างจะมีสันติภาพอันถาวรมากยิ่งขึ้น</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
ในการประชุมสันนิบาตเสรีชนแห่งโลกที่กรุงเทพฯ ผมมีโอกาสได้ไปพูดในเรื่องการสร้างสันติภาพซึ่งมาทราบภายหลังว่าในที่ประชุมนี้เขาไม่ให้พูดในเรื่องศาสนา แต่ผมไปพูดว่าถ้าจะให้สันติภาพเกิดขึ้นอย่างแท้จริงแล้ว ทุกคนจะต้องเข้าซึ้งถึงศาสนาของแต่ละคนที่นับถือให้อย่างถ่องแท้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าศาสนาที่ถูกต้องจะทำให้ประชาชนพลโลกมีสันติสุขสันติภาพมากขึ้น</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
ถ้าเราศึกษาคำสอนของศาสนาแล้วจะเห็นได้ว่า เบญจศีลจะเป็นคำสอนพื้นฐานของทุกศาสนาและเรื่องการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว ยิ่งเป็นศีลของทุกศาสนาเลยก็ว่าได้ ไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม การมีเมตตาจิตไม่ใช่แค่เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ต่อสัตว์ก็สำคัญ นั่นเป็นเรื่องของคำสอนแต่ละศาสนา </div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;">มังสวิรัติจะสร้างสันติภาพได้อย่างไร ไม่ใช่เฉพาะทางด้านกายภาพเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเกิดขึ้นด้วยสองปัจจัย ปัจจัยหนึ่งคือทางด้านวัตถุ ทางด้านกายภาพที่เราสามารถจับต้อง สามารถวัดได้ ปัจจัยสำคัญที่มองไม่เห็นนามธรรมคือพลังจิต พลังญาณที่เกิดขึ้นของสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตสิ่งเหล่านี้นักวิทยาศาสตร์มองข้ามไปและก็นึกว่าไม่มีทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้น สำหรับผู้ที่ศึกษาทางด้านนี้หรือเคยปฏิบัติทางด้านนี้มา ยืนยันได้ว่าพลังจิตนั้นมีจริง พลังจิตนั้นสามารถทำอะไรต่ออะไรได้แน่นอน ยิ่งมีพลังจำนวนมากๆ ด้วยแล้วยิ่งสามารถจะรวมกันได้ พลังจิตมีสองทาง คือทางด้านสวรรค์ และทางทำลาย สิ่งเหล่านี้เราจะต้องช่วยกันทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ และที่เราได้ฟังท่านศาสดาศรีสัตคุรุยักยิต ซิงห์ ยีมหาราช ประมุขศาสนาซิกข์นิกายนามาธารี พูดไปแล้วนั้น ว่าสัตว์ก็มีจิตวิญญาณเหมือนกันถ้าไม่ไปฆ่าเขา เขาก็มีความความรู้สึกนึกคิดในทำนองเดียวกับมนุษย์เรา มีความอาฆาตเคียดแค้นได้ และพลังตรงนี้แหละที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายสับสนขึ้นมาได้ ทำให้เกิดคลื่นกระแสในทางทำลายรุนแรง</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
ผมเคยเรียกร้องสื่อมวลชนว่าวันๆ หนึ่ง ควรพาดหัวข่าวว่าวันนี้มีอะไรดี ข่าวดี วันนีมีอะไรเพื่อให้เกิดการสร้างสรรค์ มีความรู้สึกนึกคิดในทางที่เป็นสันติภาพ ในแนวทางที่ดี เขาบอกไม่ได้หนังสือพิมพ์จะขายไม่ออก ข่าวดีจะขายไม่ออก มีแต่ข่าวร้าย ข่าวเรื่องบ้านเมืองที่ไหนล่มจม หนังสือพิมพ์ขายดี แต่ข่าวดีขายไม่ออก สิ่งเหล่านี้จึงทำให้เกิดกระแสคลื่นที่เรามองไม่เห็น พวกเราที่อยู่ในที่นี้ก็รวมกระแสคลื่นของพวกเรามังสวิรัติร่วมกัน แต่เรามองไม่เห็น คลื่นวิทยุ คลื่นโทรทัศน์ มีอยู่ในอากาศอยู่แล้ว มีอยู่ในธรรมชาติแต่เรามองไม่เห็น แต่ถ้าเราเอาเครื่องมาจูนรับเข้า เราก็รับได้</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;">ฉะนั้นเรื่องมังสวิรัติจึงเป็นพื้นฐานอันหนึ่งที่จะสร้างเมตตาธรรม “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” สร้างความเมตตา สร้างความเอื้ออาทรต่อกัน ก็จะทำให้เกิดสันติสุข สันติภาพที่แท้จริงขึ้นมาได้ แต่การรับประทานอาหารมังสวิรัติอย่างเดียวคงจะไม่เพียงพอ จะต้องมีการปฏิบัติ เรื่องการปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องสำคัญทางพุทธศาสนาเรา ต่อให้เรียนรู้ อ่านรู้ ฟังรู้ รู้มากเยอะแยะเลย ถ้าไม่ปฏิบัติ ผู้นั้นจะไม่สำเร็จอะไรที่แท้จริง เพราะถ้าอ่านรู้ ฟังรู้ เรียนรู้แล้วสามารถสำเร็จได้ง่าย พระอานนท์คงไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นองค์สุดท้ายหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว องค์อื่นสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ แต่พระอานนท์รู้มากเมื่อรู้มากก็กังวลมาก จิตไม่หยุดนิ่ง ไม่สงบ จิตมีความกังวล จิตมีสิ่งผูกพันอยู่ ก็ไม่มีทางสำเร็จได้ ถ้าจิตของเรานิ่ง เราทิ้ง เราละได้ เป็นอิสระ เราปล่อย เมื่อนั้นเราจะมีสันติสุขในจิตวิญญาณของเรา และเมื่อส่วนตัวมีความสันติสุขขึ้นมา ก็ทำให้ครอบครัวมีสันติสุขตาม ทำให้หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด ทั้งประเทศ ทั้งโลกมีสันติสุขได้ ถ้าทุกคนร่วมจิตร่วมใจกันสร้างสันติสุข สันติภาพในจิตใจของเรา โดยการรับประทานอาหารมังสวิรัติ</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;"><br />
</div><div style="background-color: white; color: #669933; font-family: Verdana, Arial, Tahoma, sans-serif; font-size: 15px; line-height: 19.5px; margin-bottom: 5px; text-align: justify;">ยกตัวอย่างเช่นเมื่อก่อนนี้ผมมีอารมณ์ค่อนข้างรุนแรง ตอนเด็กๆ ใครทำให้ไม่พอใจ ก็จะเตะคนนั้นดิ้นกระแด่วๆ อยู่กลางถนนเลย ตอนที่ผมเป็นหัวหน้าภาควิชาเคมีเมื่อเลขาบอกว่าทำไม่ได้ผมจะทุบโต๊ะบอกว่าคำว่าไม่ได้ ไม่มี อย่ามาพูดให้ ดร. พิชัย ฟังเด็ดขาด ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ อารมณ์ดุเดือด แต่หลังจากที่ผมรับประทานอาหารมังสวิรัติแล้ว จิตใจเราค่อยๆ เย็นลง เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมชาติไป ผมอายุ ๖๐ แล้ว มีคนมาทักอยู่เรื่อยว่าไม่เจอกันตั้งหลายสิบปี ไม่เห็นแก่เลยฉะนั้นถ้าใครไม่อยากแก่การรับประทานอาหารมังสวิรัติเป็นวิธีหนึ่งที่ชะลอความแก่ได้ “Eat Vegetarian live longer” เป็นสัจธรรม เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้</div>Dr.Phichai Tovivichhttp://www.blogger.com/profile/01420689465046622094noreply@blogger.com0