วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

รู้สักนิด....สารพิษในอาหาร

ปัญหาที่เกิดจากการได้รับสารอาหารที่เป็นพิษ (Food Toxicity)
ปัญหาสารพิษในอาหาร เกิดได้อย่างน้อยสามทาง คือ

1.สารปนเปื้อนและตกค้างในอาหาร (Food contaminates) เกิดขึ้นโดยไม่มีความตั้งใจ เช่น กลุ่มสารเคมีปราบศัตรูพืช สารฆ่าแมลง สารฆ่าเชื้อรา กลุ่มสารโลหะหนัก (ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม แมงกานีส สารหนูหรือ กลุ่มสารพิษจากเชื้อจุรินทรีย์ เช่น สารทำลายประสาท- botulin จากแบคทีเรีย botulinum สารก่อมะเร็งตับ aflatoxin จากเชื้อรา Aspergillus flavus

2.สารที่เติมลงไปในอาหาร (Food additives) เกิดขึ้นโดยมีเจตนา หลายชนิดเป็นสารอันตรายต้องควบคุมและต้องห้าม เช่น สารแต่งลักษณะทางกายภาพและเคมี สี กลิ่น และรสอาหาร ได้แก่ ผงกรอบหรือบอแรกซ์ สารฟอกสี สารกันบูดกันเสีย (กรดเบนโซอิก ไนเตรท ฟอร์มาลิน และ สารสังเคราะห์เพื่อผสมสีหรือกลิ่นหรือรส ของอาหารและเครื่องเดิม นอกจากนี้มีการเติมในอาหารสัตว์เลี้ยง เช่น สารปฎิชีวนะ สารเร่งเนื้อแดง  ฉีดฮอร์โมนเร่งการเติบโตสัตว์เลี้ยง เช่น estrogen , growth hormone ทำให้มีสารตกค้างในอาหารเนื้อสัตว์และมีผลกระทบต่อผู้บริโภค ผงชูรส คือ สาร Monosodium D-glutamic acid(MSG) เมื่อกินเข้าไปจะเข้าไปทำงานแข่งขันกับสาร L-glutamic acid ซึ่งเป็นสารสื่อนำประสาทธรรมชาติในร่างกาย จึงเกิดอาการผิดปกติต่างๆ เช่น ชาปาก ลิ้น ร้อนวูบวาบตามใบหน้า ต้นคอ หน้าอก มีผื่นตามตัว แน่นหน้าอก หัวใจเต้นช้า หรือ เต้นเร็วผิดปกติ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ภาวะพิษจากผงชูรสมีอัตราสูงขึ้นมาก ในระหว่าง 30-40% ของประชาชนทั่วโลก ผงชูรสรับเข้าไปมากในเด็กเล็กอาจทำให้เกิดภาวะชักและสมองไม่พัฒนาทำให้สติปัญญาอ่อนแอได้อีกด้วย

3.สารก่อมะเร็งที่เกิดจากการปรุงอาหารด้วยความร้อนสูง (Carcinogens from overheated cooking food) คนไทยป่วยด้วยโรคมะเร็งเพิ่มมากขึ้นอย่างน่าตกใจ และมะเร็งกลายเป็นสาเหตุการตายอันดับหนึ่ง สารเคมีก่อมะเร็ง (carcinogens) ในอาหาร เป็นปัจจัยเสี่ยงประการหนึ่ง มีหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มก่อสารมะเร็งที่เกิดจากการปิ้งย่าง เผา ด้วยความร้อนสูงจัดเกิน 250 C กรดกลูตามิกในเนื้อสัตว์หรือโปรตีนและผงชูรสที่ไหม้ไฟจะเปลี่ยนสภาพทางเคมีเป็นสารกลูพี1 (Glu-P-1) สารกลูพี2 และสารไฮโดรคาร์บอนอื่นๆ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น หมูปิ้ง ไส้กรอกย่าง ลูกชิ้นปิ้ง ไก่ย่าง ไก่ทอด เนื้อกระทะ นอกจากนี้มีสารพิษประเภทกลุ่มไขมันทรานส์ (trans fats) ซึ่งพบมากในเนยเทียม หรือ มาการีน (magarine) และกลุ่มสารไขมันออกซิไดซ์ สารอนุมูลอิสระในปาท่องโก๋ อาหารทอดด้วย น้ำมันถอดซ้ำ สารเคมีจากพืชหรือพฤกษเคมี (phyochemicals)
ในระยะศตวรรษที่ผ่านมา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้นำวิทยาการมากมายและเทคโนโลยีใหม่ๆในการส่งเสริมสุขภาพ และการป้องกันโรคด้วยอาหารจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า อาหารโดยอาหารจากพืช ผัก ผลไม้ เป็นปัจจัยสำคัญของการมีสุขภาพดี ทั้งด้ายระบาดวิทยา และด้ายการทดลองในห้องปฎิบัติการ ความรู้เหล่านี้ มีการจดจำมานานแล้ว ได้มาจากสติปัญญาและภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยเราด้วย โดยอาสัยการสังเกตทั้งด้านรสชาติ และคุณสมบัติในด้านยาด้วย

คุณภาพของอาหารขึ้นอยู่กับสารอาหาร (nutrients) และสารเคมีอื่นที่ไม่ใช่สารอาหาร (non-nutrients) ซึ่งร่วมกันเรียกว่า สารเคมีจากพืชหรือพฤกษาเคมี (phytochemicals) สารเคมีจากพืช เป็นสารที่เกิดรสชาติ กลิ่น สี และรูปลักษณะของอาหารที่เป็นสารที่ไม่จำเป็นเหมือนสารอาหารแต่มีความสำคัญมากในด้านการส่งเสริมสุขภาพและการป้องกันโรค ความจริงแล้ว สารเคมีเหล่านี้ มีประโยชน์โดยตรงต่อการป้องกันพืชมิให้ถูกทำลายโดยออกซิเจน สารเคมีเหล่านี้ มีประโยชน์โดยตรงต่อการป้องกันพืชมิให้ถูกทำลายโดยออกซิเจน สารพิษ ในสิ่งแวดล้อม และป้องกันศัตรูของพืช มากกว่าประโยชน์ทางอ้อมต่อสัตว์และคน สัตว์และคนไม่มีการปกป้องดังกล่าว จึงต้องขอ แบ่งใช้สาระสำคัญเหล่านั้นมาไว้ในตัวเรา การวิจัยทำให้เราเห็นความสำคัญของสารเคมีจากพืชทางด้านการโภชนามากขึ้นเรื่อยๆ

ในยุคโภชนาการเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นยุคของวิตามิน ปัจจุบันนนี้เป็นยุคโภชนาการของสารเคมีจากพืช เช่น phytoestogens , carotenoids และ flavonoids ซึ่งได้มีการสกัดและพัฒนารูปแบบ สารเหล่านี้เป็นสารกึ่งอาหารกึ่งยา เรียกว่า สารโภชนาเภสัชภัณฑ์ (nutriceuticals) หรือ อาหารสุขภาพ (functional foods) นำมาใช้ป้องกันหรือลดความเสี่ยงของการติดโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคมะเร็ง อาหารสุขภาพที่แท้จริงควนเป็นในรูปแบบอาหารสมบูรณ์ทั้งหมด ไม่ต้องมีการสกัดสารออกมา เช่น อาหารแมคโครไปโอติก อาหารชีวจิต อาหารมังสวิรัติ /เจ มีการนำมาเผยแพร่จนเป็นที่ยอมรับปฎิบัติด้วยตนเอง  



10 วิธี(กิน)เพื่อสุขภาพ!!!





อาหารกับสุขภาพ 10 วิธี การกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนัก ให้กินนั่น ห้ามกินนี่ จนไม่รุ้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1.กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราการเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุฯกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2.เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกายและมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3.ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4.เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5.บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดปรานประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใย ในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6.สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิกว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้วพบว่า ช่วยลดความเสียงต่อโรคหัวถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7.จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่หลง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1-3 แก้ว ช่วยลดอัตราการเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8.กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผัก ผลไม้ต่างๆให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9.เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งที่ยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10.กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆหลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฎิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นจนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆจะไปไหนเสีย!!?

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อาหารที่ผู้สูงวัยไม่ควรรับประทาน!

เป็นประจำที่เราจะได้ยินท่านผู้สูงอายุในครอบครัวบ่น เบื่อไม่อยากกินอาหารถึงมื้ออาหารแต่ละทีมักจะกินได้ทีละนิดๆ จนลูกหลานอดเป็นห่วงไม่ได้ว่ากินน้อยแค่นี้ท่านจะมีกำลังวังชาพอใช้ในแต่ละวันหรือไม่?


วัยสูงอายุนั้นย่อมมาคู่กับการเสื่อมของสภาพร่างกาย แท้จริงแล้ววัยนี้ต้องการอาหารครบ 5 หมู่ เช่นเดียวกับวัยอื่นๆ แต่อาจจะมีความต้องการอาหารที่ทำให้กำลังงานน้อยลง ไม่เหมาะกับอาหารบางอย่าง และกินได้ในปริมาณน้อยลงกว่าที่เคยสถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณะสุข ได้แนะนำถึงอาหารที่ผู้สูงอายุไม่ควรกิน ได้แก่ ควรกินอาหารจำพวก ข้าว แป้ง และน้ำตาลให้น้อยลง ไม่ควรกินข้าวที่ขัดสีขาวมากเกินไปและข้าวที่นำมาประกอบกับอาหารอย่างอื่นที่เพิ่มกะทิ หรือไขมัน เช่น ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ข้าวเหนียวทุเรียน ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวหลาม ขนมเชื่อม ของหวานต่างๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ทุเรียนกวน ผลไม้เชื่อม ฯลฯ เพราะผู้สูงอายุมีโอกาสใช้พลังงานได้น้อย อาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดไขมันส่วนเกิน ทำให้อ้วน ตามมาด้วยโรคภัยอื่นๆอีกมากมาย"
                
อาหารจำพวกเนื้อสัตว์นั้น ไม่ควรกินเนื้อติดมัน  หนังสัตว์ต่างๆ เนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เช่น หนังไก่ทอด แคบหมู ขาหมู หมูกรอบ หมูสามชั้น หรือแม้แต่ไข่แดง
                 
ไม่ควรกินอาหารจำพวกไขมันสูง ได้แก่ น้ำมันหมู น้ำมันไก่ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ของทอดต่างๆ เช่น กล้วยทอด ปาท่องโก๋ อาหารชุบแป้งทอด อาหารใส่กะทิ เช่น แกงเผ็ด
                 
ไม่ควรกินอาหารที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน มะม่วงสุก ละมุด กล้วยหอม ลำไย น้อยหน่า ขนุน แน่นอนว่า อาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้านแต่มีรสจัด อร่อย เป็นที่ติดใจมานานแสนนานจนยากที่จะลดละเลิก แต่เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และมีสุขภาพแข็งแรงไป
อีกนานๆ ท่านผู้สูงอายุทั้งหลายก็คงยอมได้นะครับ

"กินอยู่เพื่ออายุยืน"



ใครว่าคนไทยอายุยืน?



ในความเป็นจริง อายุเฉลี่ยของคนไทยต่ำกว่าอีกหลายๆประเทศทั่วโลก เชื่อไหมว่า คนไทยตายด้วยโรคมะเร็ง ปีละกว่า 4 หมื่น 5 พันคน ตายด้วยอุบัติเหตุ กว่า 3 หมื่น 2 พันคน เพียงโรคที่ป้องกันได้ 3 โรคนี้ ต้องหมดเปลืองค่าใช้จ่าย ในการรักษาพยาบาลหลายหมื่นล้านบาท ต้องหมดเปลืองค่าใช้จ่ายในการรักษาค่าพยาบาลหลายหมื่นล้านบาท ไม่รวมถึงการสูญเสียโอกาสในการทำงาน สร้างรายได้ให้กับตนเอง และครอบครัว ทำอย่างไรคนไทยจะอายุยืนมากขึ้นเคล็ดลับอายุยืน

ที่จริง ไม่ยากเลยถ้าคนไทยจะมีอายุยืนขึ้น รู้หลัก...ปฎิบัติให้ถูกต้องก็จะแข็งแรง ไม่เจ็บ ไม่ป่วยแต่ละวัน ชีวิตคนเรา เกี่ยวพันแต่เรื่องกิน และเรื่องอยู่ กินอย่างไรให้แข็งแรง และอายุยืนอยู่อย่างไร ก็ให้แข็งแรง และอายุยืนเช่นกัน

เรื่องกิน กินตามวัย ห่างไกลโรค กินอาหารปลอดพิษ ชีวิตปลอดภัย เรื่องอยู่ ออกกำลังกาย สัปดาห์ละ 3 วัน วันละ 30 นาที ลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่ และโรคภัย รักษาอารมณ์ให้ผ่องใส ไม่ให้เกิดความเครียด ร่างกายทุกคน ต้องการสารอาหารเพ่อพลังงานเพื่อการเจริญเติบโต เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่เราไม่สามารถกินอาหารให้พอดีกับร่างกายเราต้องการ ไม่มากไป มากไปก็สะสม กลายเป็นไขมัน ที่มองเห็นก็ทำให้อ้วน ที่มองไม่เห็น ก็ทำให้หลอดเลือดอุดตัน เป็นสาเหตุหัวใจวาย
การออกกำลังกาย
                
เป็นการเผาผลาญพลังงานจากที่เรากินเข้าไป ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น การออกกำลังกายที่จะให้ผลอย่างชัดเจน ต้องให้ออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ30 นาทีขึ้นไป และต่อเนื่องอย่างน้อย สัปดาห์ละ 3 วัน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เลือดสูบฉีดอย่างต่อเนื่อง ป้องกันการก่อตัวของไขมันในเส้นเลือด เส้นเลือด หรือหลอดเลือดก็จะไม่อุดตัน การมีกล้ามเนื้อเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราแข็งแรงขึ้น มีการเผาผลาญพลังงานที่ดีขึ้น ไขมันสะสมก็จะลดน้อยลง ร่างกายดูสมส่วน จิตใจเบิกบานสดใสโอกาสเกิดโรคจะน้อยลงลดความเสี่ยงโรคภัยและอันตรายได้
กินตามวัย

กินปลอดพิษ ออกกำลังกาย ถึงจะครบแต่ก็ยังไม่เต็มสูตรอายุวัฒนะ ถ้าหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของเรา ทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากการเสพ เช่น บุหรี่ ยาเสพติด สุรา อุตส่าห์รักษาร่างกายอย่างดี กินตามวัยก็แล้วสารพิษไม่มีโอกาสเข้าร่างกายก็แล้ว หรือออกกำลังกายมากกว่า 3 สัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังสูบบุหรี่ ก็อาจเป็นมะเร็งตาย ดื่มสุรามากเกินไป ก็เป็นสาเหตุของโรคร้ายหลายๆโรค มีโอกาสตายได้ทั้งจากโรค และอุบัติเหตุ เนื่องจากเมาแล้วขับรถและความเสี่ยงที่เกิดจากความประมาท หรือคึกคะนองขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่ขาดเข็มขัดนิรภัย ไม่ใส่หมวกกันน็อค ถ้าเกิดอุบัติเหตุก็อาจตายได้ คนเราเครียด จะปวดหัว ปวดท้อง มือสั่นอาการต่างกันไป แต่ละบุคคล แต่อาการไหนๆก็ไม่ดีทั้งนั้น เพราะเครียดแต่ละครั้ง ร่างกายจะหลั่งสารอดรีนาลิน ที่เป็นอันตรายกับสุขภาพเราเอง ทำให้อายุสั้น แม้จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องพบปัญหา แต่เราสามารถจัดการป้องกันความเครียด ที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองได้อยากมีอายุวัฒนะ หรืออายุยืน ไม่ต้องแสวงหายาอายุวัฒนะที่ไหน ทั้งหมดอยู่ที่ตัวเราเอง


วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

You Know the Foods well?

You Know the Foods well?


อาหาร (Food, Diet) เป็นสารผสมระหว่างสารอาหาร (Non-nutrients) เส้นใยอาหาร (Dietary Fiber) และน้ำ Food คือ อาหารทั่วไป Diet คือ อาหารพิเศษที่มีลักษณะเฉพาะ ตามความต้องการผู้ปรุงและผู้กินสารอาหาร คือ สารประกอบในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน จะถูกย่อยด้วยเอนไซม์น้ำย่อยอาหารจนได้โมเลกุลของสารที่เล็กลงซึ่งถูกดูดซึมในทางเดินอาหารได้และร่างกายสามารถนำเอาไปทำประโยชน์ต่อชีวิตได้

คาร์โบไฮเดรท โปรตีนและไขมัน เป็นสารอาหารที่มีร่างกายใช้ในปริมาณมาก(กรัม) จึงเรียกได้ว่าสารอาหารหลัก (macronutrients) การได้รับสารอาหารหลักนี้ควรเป็นไปตามสัดส่วนโดยคำนวณตามร้อยละของพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน ตัวอย่างสัดส่วนอาหารสำหรับผู้ใหญ่หนัก 60 กก. มีตังนี้ส่วนของอาหาร เปอร์เซ็นของแคลอรี่ทั้งหมดต่อวันปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน

  •        คาร์โบไฮเดรท 55-60% 180-200 กรัม
  •       โปรตีน 10-15% 36-40% กรัม
  •       ไขมัน (น้อยกว่า 30% 55 กรัม)

วิตามินและเกลือแร่ เป็นสารอาหารที่ร่างกายใช้ในปริมาณน้อย (ไมโครกรัมหรือมิลลิกรัม) จึงเรียกว่า สารอาหารรอง (micronutrients)

น้ำ ไม่เป็นสารอาหารแต่เป็นสารตัวกลางที่จำเป็นต่อร่างกายมาก มีประมาณ 80% ของน้ำหนักร่างกาย น้ำทำให้เกิดการย่อยและการดูดซึมสารอาหาร การพาสารอาหารและก๊าซไปในเลือด ทำให้เกิดปฎิกิริยาทางเมแทบอลิซึม ปรับภาวะกรดด่าง(pH) ปรับอุณหภูมิร่างกาย ฯลฯ

ฮิปโปเครตีสได้กล่าวว่า "You are want you eat = คุณจะเป็นเช่นที่คุณกิน" คนที่มีสุขภาพร่างกายจะสมบูรณ์แข็งแรงได้นั้นต้องจำเป็นต้องรับประทานอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนและปริฒานเพียงพอ การบริโภคอาหารที่ถูกต้องตามทางโภชนาการ อาหารมีความสำคัญมากต่อชีวิต อาหารดีทำให้ชีวิตสมบูรณ์ อาหารที่ไม่สมดุลและถุกต้องตามหลักโภชนาการจะมีผลกระทบต่อสุขภาพและทำให้มีปัยหาและเกิดโรคขาดสารอาหารและโรคอ้วนได้ ในทางตรงกันข้าม อาหารที่เหใมาะสมและมีความพอดีทางโภชนาการจะสามารถป้องกันและบำบัดโรคได้เช่นกัน

ปัญหาที่เกิดจากการได้รับสารอาหารไม่สมดุลหรือมากเกินไป (Overnutrition) ปัจจุบันมีโรคเรื้อรังที่เกิดจากการกินอาหารถึง 80% เช่น โรคหัวใจขาดเลือดตีบตัน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน โรคไขข้ออักเสบ ฯลฯ เป็นต้น คนไทยเป็นและตายด้วยโรคหัวใจ ชม.ละ 4 คน ด้วยโรคมะเร็ง ชม. ละ 3 คน มากกว่าโรคเอดส์เสียอีก เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคทั้งสิ้น จะเพิ่มมากขึ้นในประเทศที่พัฒนาการบริโภคทั้งสิ้น จะเพิ่มมากขึ้นในประเทศที่พัฒนาทางอุตสาหากรรม ในด้านระบาดวิทยา มีการรายงานว่า ประชากรที่ได้รับประทานอาหารพืชผักผลไม้ และข้าวกล้องเป็นประจำ จะเป็รโรคมะเร็งและโรคหัวใจน้อยกว่าคนปกตอทั่วไปที่กินอาหารประเภทพวกเนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ เป็นหลัก สตรีที่กินอาหารผัก ผลไม้ จะปลอดจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมน้อยกว่าสตรีที่ไม่กิน เด็กรุ่นใหม่จะมีกลุ่มที่เกิดจากอาหารขยะ (Junk food syndrome) หรือเรียกว่า ภาวะกินล้นเกินแต่อาหารไม่ครบส่วน (Overconsumption) อาหารขยะมีแป้งขัดสี มีน้ำตาล และน้ำอัดลม สารอาหารในรูปคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวถูกดูดซึมเข้สเซลล์ เข้าสู่วงโคจรสร้างพลังงาน (Kreb"cycle) ปลดปล่อยพลังงานออกมาอย่างรวดเร็ว และหมดพลังงานอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน เหมือนไฟไหม้กองฟาง เด็กที่กินอาหารกลุ่มนี้จึงตาสว่าง แต่ง่วงเหงาซึงเซาในเวลาต่อมา เมื่อกินอาหารเหล่้านี้ซ้ำซาก การเผาผาญคาร์โบไฮเดรตต้องใช้วิตามินบีในวงจรชีวเคมี ไม่มีวิตามินบีในอาหารขยะและน้ำอัดลม เซลล์ร่างกายจึงวิตามินบีจากเซลล์สมอง เป็นผลให้สมองของเด็กขาดวิตามิน เกิดอาการตื่นเต้นง่าย ซุกซุนเกินเหตุ สมาธิสั้น อารมณ์แปรปวร ก้าวร้าว ตามด้วยอ่อนเปลี่ยเพลียแรง นอนไม่หลับ และผลการเรียนตกต่ำ สัมพันธ์กับการบริโภคอาหารขยะงานวิจัยของศูนย์สุขภาพจิตในแมนฮาสเสตต์ นิวยอร์ก ระบุว่าอาการเหล้่านี้จะเปลี่ยนเมื่องดอาหารขยะและน้ำอัดลมที่อุดมด้วยสารเคมีหันมากินอาหารธรรมชาติ ผัก ผลไม้ ไข่ และเพิ่มวิตามินให้ ภายใน 3 สัปดาห์ เด็กที่ป่วยด้วย "กลุ่มอาการอาหารขยะ" จะค่อยๆดีขึ้น ลแะผลการเรียนก็ดีขึ้นตาม

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อากาศบริสุทธิ์


ลักษณะของอากาศบริสุทธิ์
นิยามของอากาศบริสุทธิ์ หมายถึงอากาศที่มีอยู่ในธรรมชาติ ปราศจากมลพิษหรือแก๊ซ ร่างกายของคนเราประกอบด้วยปอดที่ทำหน้าที่รับก๊าซออกซิเจนเมื่อเราหายใจเข้า และปล่อยคาร์บอดไดอ๊อกไซด์เมื่อหายใจออก สมัยเราเรียนชั้นประถมจะมีวิธีการทดลอง เป่าหลอดลงในน้ำปูนใส เมื่อเป่าแล้วทำไมน้ำปูนถึงขุ่น นั่นหมายความหมายแคลเซียมคาร์บอนเนตจากน้ำปูนใส ผสมกับคาร์บอนไดออกซ์ไซด์ จึงเกิดปฎิกิริยาให้น้ำปูนใสขุ่น เพราะฉะนั้นอากาศที่บริสุทธิ คืออากาศที่ไม่มีสารพิษอันตรายเจือปนอยู่ในอากาศ ในอากาศบริสุทธินั้นจะประกอบไปด้วย ออกซิเจน และไนโตรเจน ถ้ามีอากาศดังกล่าวและมนุษย์สูดหายใจเข้าไปในปอด อากาศบริสุทธิเหล่านั้นจะเข้าไปซ่อมแซมอวัยวะ หรือ เซลล์ ให้แข็งแรงขึ้น ในอากาศบริสุทธิจึงสามารถทำให้หายป่วยได้ สังเกตได้จากผู้ป่วยที่ได้ไปพักผ่อนในสถานที่ตากอากาศ อาการไม่สบายจะหายไวขึ้น


เมื่อคนในเมืองใหญ่ไม่สามารถได้รับอากาศบริสุทธิได้เต็มที่
ให้ย้อนไปในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เวลาที่ต้องการอากาศบริสุทธิ์ ให้มานั่งใต้ต้นใหม่ใหญ่ๆสักต้น ซึ่งทางหลักวิทยาศาสตร์นั้นได้อ้างอิงไว้ว่า ใบไม้เมื่อได้รับการสังเคราะห์ด้วยแสง จะปล่อยก๊าซอ๊อกซิเจนที่บริสุทธิ์ออกมา ซึ่งเป็นก๊าซออกซิเจนแบบสดๆ จากต้นไม้  สำหรับผู้ที่ทำงานใน Office อาจจะได้รับอากาศจากแอร์คอนดิชั่นเนอร์เป็นส่วนใหญ่  แค่มีต้นไม้เป็นกระถางไปวาง และมีแดดส่องโดนต้นไม้บ้าง ก็จะช่วยให้คนใน Office ได้รับอากาศที่บริสุทธิมากขึ้น 

"น้ำบริสุทธิ์ หยุดดื่มดีกว่า "


ผลการประชุมสัมมนาเรื่อง "ดื่มอะไรจึงจะปลอดภัยต่อสุขภาพ" ซึ่งสมาคมเคมีร่วมกับฝ่ายสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) โดยมี รศ.ดร.สมใจ วิชัยดิษฐ อดีตนายกสมาคมโภชนาการ นางชวนพิศ ธรรมศิริ อดีตผู้ว่าการการประปานครหลวง รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ รองประทานชมรมอยู่ร้อยปีชีวีเป็นสุขเป็นวิทยากร และ ผศ.ดร.ตะวัน สุขน้อย เป็นผู้ดำเนินการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 120 คน



รศ.ดร.ธีรวัฒน์ มงคลอัศวรัตน์ นายกสมาคมเคมี ได้แถลงต่อที่ประชุมว่า สมาคมเคมีมีนโยบายที่จะให้ความรู้สู่ประชาชนในหัวข้อ " เคมีในชีวิตประจำวัน" และฝ่ายสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาของ สวทช. ก็มีภารกิจในการเผยแพร่ผลงานทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำความเข้าใจในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแก่ประชาชนจึงได้ร่วมมือกันในการประชุมสัมมนานี้ขึ้น โดยผู้เข้า่ร่วมประชุมไม่ต้องชำระค่าใช้จ่ายแต่อย่างไร

รศ.ดร.สมใจ วิชัยดิษฐ์ ได้อธิบายถึงความสำคัญของน้ำที่มีต่อร่างกายเป็นสารอาหารที่ร่างกายขาดไม่ได้ นอกเหนือจากคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ และวิตามินในร่างกายมีปริมาณน้ำมากที่สุด ประมาณ 63% และมีเกลือแร่ประมาณ 6 % มากกว่าคาร์โบไฮเดรต ซึงมีเพียงประมาณ 1 % ส่วนวิตามินนั้นมีน้อยมาก น้ำในร่างกายมีทั้งภายในเซลล์ประมาณ 25 ลิตร และอยู่ภายนอกเซลล์ประมาณ 17 ลิตร โดยเพศชายจะมีปริมาณน้ำมากกว่าเพศหญิงในวัยเดียวกัน บทบาทของน้ำในร่างกายเป็นของเหลวทั้งภายในเซลล์และภายนอกเซลล์ เกี่ยวข้องกับกระบวนการออสโมซิส ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายกำจัดของเสียและเป็นสารหล่อลื่น ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ถ้าดื่มน้ำมากเกินมากไปก็อาจทำให้ปวดศรีษะ สายตาพร่า เป็นตะคริว และอาจชัดได้

นางชวนพิศ ธรรมศิริ ได้เน้นให้เห็นถึงความสำคัญของน้ำซึ่งเป็นทรัพยากรของมนุษย์ที่ควรจะใช้อย่างชาญฉลาด แหล่งน้ำที่นำมาใช้บริโภคมีทั้งน้ำที่อยู่บนดินจากแม่น้ำลำคลอง รวมทั้งลำธารตามป่าเขาและน้ำใต้ดิน การผลิตน้ำเพื่อบริโภคนั้นมีกรรมวิธีหลายขั้นตอน เทคโนโลยีสมัยใหม่นี้สามารถผลิตน้ำให้สะอาดอย่างไรก็ได้ แต่ปัญหาที่สำคัญ ได้แก่ ความเค็มของน้ำซึ่งมีธาตุโซเดียมละลายอยู่เป็นปัญหาที่แก้ได้ยากที่สุึด จึงมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า รีเวอร์ออสโมซิส (Reverse Osmosis) หรือย่อว่า อาร์โอ (RO) ซึ่งเป็นระบบที่สามารถขจัดแร่ธาตุทุกชนิดออกไปจากน้ำ กลายเป็นน้ำบริสุทธิ์เสมือนหนึ่งเป็นน้ำกลั่น สำหรับน้ำประปาของการประปานครหลวงมีคุณภาพและมาตรฐานของตนเอง และทำได้ดีกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ความจริงประชาชนได้รับน้ำประปาเข้าร่างกายทางอ้อมในการหุงข้าวและทำอาหารเป็นประจำมานานแล้ว ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครเจ็บป่ายเพราระใช้น้ำปะปา มีแต่เรื่องเดือดเพราะไม่มีน้ำปะปาใช้ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาที่จะดื่มน้ำประปาโดยตรง ส่วนปัญหาที่มีผู้ข้องใจว่า ท่อปะปารั่วอาจมีสิ่งสกปรกเข้าไปในท่่อได้นั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะภายในท่อจะมีความดันสูงกว่าภายนอกท่อ เมื่อมีรอยรั่วจึงมีแต่น้ำพุ่งออกมาจากท่อปะปาสิ่งสกปรกจากนอกท่้อจะเข้าไปในท่อไม่ได้ นอกจากบางบ้านที่ใช้ปั๊มน้ำก็อาจทำให้สิ่งที่อยู่นอกท่อเข้าไปในท่อได้

ศ.ดร.ประดิษฐ์ เชี่ยวสกุล นักวิทยาศาสตร์อาวุโส ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่าน้ำประปาใช้คลอรีนฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ อาจทำให้มีกลิ่นฉุน แต่ถ้าตั้งทิ้งไว้หรือต้มให้ร้อน กลิ่นคลอรีนก็จะระเหยหายไปได้ไม่มีพิษภัยอะไร
  
รศ.ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ได้อ่านบทความของ รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน คณบดี คณะสหเวชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งรับเชิญเป็นวิทยากรด้วยแต่ติดราชการกะทันหัน จึงไม่สามารถเข้าร่วมประชุม ได้อนุญาตให้นำบทความมาแจกในที่ประชุม ซึ่งมีข้อความสำคัญบางตอนดังต่อไปนี้ "แร่ธาตุในน้ำนั้นมีหน้าที่สำคัญ คือ ทำให้น้ำนั่นไม่กลายเป็น "น้ำอ่อน" เกินไป ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการผลิตน้ำเพื่อการบริโภค....น้ำดื่มจะต้องไม่เป็นน้ำอ่อนเกินไป กรณีของน้ำไร้แร่ธาตุนั้นนับเป็นน้ำที่อ่อนสุดขีด...กระบวนการรีเวอร์สออสโมซิสนั้น นิยมใช้ในการเตรียมน้ำทะเลให้เป็นน้ำดื่มเพื่อการบริโภค ที่เรียกว่า "ดีซาลิเนชั่น" (Desalination) น้ำทะเลซึ่งกระด้างมหาศาล เมื่อผ่านกระบวนการนี้แล้ว จะกลายเป็นน้ำไร้แร่ธาตุอย่างสิ้นเชิง แต่ก่อนที่จะจ่ายเข้าสู่ระบบน้ำบริโภค เขาจะผสมแร่ธาตุจำนวนพอเหมาะกลับเข้าไปในน้ำอีกครั้งหนึ่ง เพื่อไม่ให้น้ำอ่อนเกินไป สามารถดื่มได้อย่างปลอดภัย"

ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ได้อธบายความสำคัญของแร่ธาตุที่มีต่อร่างกาย เช่น การทำงานของเอ็นไซม์จำนวนมาก ต้องใช้โลหะเป็นส่วนประกอบสำคัญถ้าปราศจากโลหะนี้แล้ว เอ็นไซม์จะไม่สามารถทำงานได้ ยกตัวอย่างแมกนีเซียมเกี่ยวข้องกับปฎิกิริยาของเอ็นไซม์ในร่างกายมากกว่า 300 ปฎิกิริยา เช่นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ เป็นต้น เฉพาะแมกนีเซียมตัวเดียวสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคต่างๆได้ถึง 50 โรค ตามเอกสารที่แจกในที่ประชุมยกตัวอย่างเช่น โรคแก่ก่อนวัย (Aging) , พฤติกรรมก้าวร้าว (Aggressive Behavior) , ความเสื่อม (Alzheimer) , สมองเสื่อม (Brain Damage) , มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ โรคเอดส์ (HIV,AIDS) , นิ่วในไต (Kidney Stones) , โรคเครียด และพฤติกรรมรุนแรง (Violence) เป็นต้น เป็นที่สังเกตุได้ว่าโรคต่า่งๆ เหล่านี้มีสถิติเป็นกันมากขึ้นภายหลังจากที่มีการนำเรซินมาขจัดความกระด้างของน้ำดื่มกลายเป็น "น้ำอ่อน" ที่ไม่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมและแคลเซียม ยิ่งเป็นน้ำจากระบบอาร์โอ รวมทั้งน้ำจากตู้หยอดเหรียญหรือน้ำดื่มบริสุทธิ์เอื้ออาทร จัดได้ว่าเป็นน้ำอ่อนที่สุด นอกจากไม่มีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถดึงดูด (Absorption) แร่ธาตุในร่างกายออกมา ทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุ บั่นทอนสุขภาพทำให้เกิดเป็นโรคต่างๆ ได้มากมาย

ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ได้ทำการสาธิตตรวจวัดปริมาณแร่ธาตุที่ละลายในน้ำชนิดต่างๆ ปรากฎว่าน้ำอาร์โอมีความบริสุทธิ์มากกว่าน้ำกลั่นเติมแบตเตอรรี่ที่ตรวจวัดในวันนั้น ปกติน้ำอาร์โอและน้ำจากตู้หยอดเหรียญจะมีแร่ธาตุละลายอยู่ตั้งแต่ 0 มิลลิกรัม ถึงประมาณ 30 มิลลิกรัมต่อลิตร ในขณะที่น้ำประปาจะมีประมาณ 150 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำบาดาลจะมีค่าแตกต่างกันไปแล้วแต่แหล่งน้ำและกระบวนการ โดยมีประมาณ 200 มิลลิกรัมต่อลิตร และน้ำแร่จะมีประมาณ 250-300 มิลลิกรัมต่อสิตร ยกเว้นน้ำแร่ปลอม ส่วนน้ำคลองที่นำมาตรวจวัดมีถึง 1,360 มิลลิกรัมต่อลิตร เครื่องวัดปริมาณแร่ธาตุนี้ มีจำหน่ายที่ชมรมอยู่ร้อยปีชีวีเป็นสุข

นอกจากนี้ ดร.พิชัย โตวิวิชญ์ ยังได้แสดงกลเคมีที่มีการอวดอ้างว่า น้ำที่ผลิตโดยระบบอาร์โอเป็นน้ำสะอาด แต่ระบบอื่นๆ สกปรกนั้นความจริงเป็นการ หลอกลวงประชาชน ซึ่ง ดร.พิชัยได้พิสูจน์ให้เห็นว่าน้ำจากระบบอาร์โอเป็นน้ำบริสุทธิ์มีคุณสมบัติเป็นฉนวน ดังนั้นเมื่อจุ่มขั้วไฟฟ้าสองขั้ว (ทำด้วยอลูมิเนียมและเหล็ก) ลงไปในน้ำ จึงไม่มีการเปลี่ยนแปลงยังคงเป็นน้ำใส ในขณะที่น้ำระบบอื่นซึงมีเกลือแร่เป็นสื่ิอไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟไหลผ่านโมเลกุลของน้ำก็จะแตกตัวเป็นแก๊สไฮโดรเจนที่ขั้วเหล็ก ทำให้เกิดสนิมเหล็กเป็นตะกอนสีน้ำตาลแดง อย่างไรก็ตามถ้าเติมเกลือแกงเพียงเล็กน้อยลงไปในน้ำระบบอาร์โอแล้วให้กระแสไฟไหลผ่านก็จะเกิดตะกอนสีน้ำตาลแดงเช่นเดียวกันกับน้ำที่ผลิตโดยระบบอื่นๆ ตะกอนที่เกิดขึ้นจึงไม่เกี่ยวข้องกับความสะอาดหรือสกปรกของน้ำ แต่เกิดจากการแตกตัวของโมเลกุลน้ำ

น้ำสะอาดกับน้ำบริสุทธิ์ จึงมีความหมายไม่เหมือนกัน กล่าวคือ น้ำสะอาด หมายถึงน้ำที่ปราสจากเชื้อจุลินทรีย์ ไม่มีสิ่งสกปรกต่อร่างกายละลายอยู่ตามความเหมาะสม ส่วนน้ำบริสุทธิ์ หมายถึง น้ำที่ไม่มีแร่ธาตุหรือสิ่งเจือปนอะไรเลยแม้แต่น้อย
   
ในที่สุด ผศ.ดร.ตะวัน สุขน้อย ได้สรุปต่อที่ประชุมว่า "น้ำดื่มที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ได้แก่ น้ำสะอาดปราศจากเชื้อจุลินทรีย์ มีแร่ธาตุที่ไม่มีพิษภัยแต่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายละลายอยู่อย่างเหมาะสม"